“ระบบลม (Air Side System)” เป็นส่วนประกอบสำคัญของระบบปรับอากาศ หรือระบบ HVAC ซึ่งทำหน้าที่ในการควบคุมการจ่ายและไหลเวียนของอากาศภายในอาคาร รวมถึงการกรองอากาศ การควบคุมอุณหภูมิ และความชื้นสัมพันธ์ หรือการรักษาสมดุลของความดันอากาศภายในอาคาร
หากระบบลม Air System ถูกออกแบบและปรับแต่งอย่างเหมาะสมจะช่วยให้การทำงานของระบบปรับอากาศในอาคารมีประสิทธิภาพสูงขึ้น และช่วยลดการใช้พลังงาน ตลอดจนช่วยปรับปรุงคุณภาพอากาศภายในอาคาร (IAQ : Indoor Air Quality) ให้ดียิ่งขึ้นสำหรับผู้อยู่อาศัย
ระบบลม (Air Side System) และบทบาทสำคัญในระบบปรับอากาศ (HVAC)
ระบบลม (Air Side System) เป็นส่วนหนึ่งของระบบปรับอากาศ HVAC ที่ทำหน้าที่ควบคุมการไหลเวียนและกระจายอากาศภายในอาคาร โดยทำงานร่วมกับระบบน้ำ (Water Side System) หรือระบบทำความเย็น เพื่อปรับอุณหภูมิและความชื้นให้เหมาะสม
โดยในระบบลมมีอุปกรณ์สำคัญ ได้แก่
- เครื่องจ่ายลมเย็น : Air Handling Unit (AHU)
- เครื่องเป่าลมเย็น : Fan Coil Unit (FCU)
- แผ่นกรองอากาศ : Air Filter (HEPA Filter)
- แดมเปอร์ : Dampers
- ท่อลม : Duct
- พัดลม : Fans
ซึ่งระบบลมมีบทบาทสำคัญในระบบปรับอากาศ (HVAC) โดยทำหน้าที่จ่ายอากาศและช่วยในการไหลเวียนของอากาศภายในอาคาร ทำหน้าที่ในการควบคุมอุณหภูมิและความชื้น ช่วยปรับปรุงคุณภาพอากาศภายในอาคาร (IAQ) รักษาสมดุลแรงดันอากาศภายในอาคารในพื้นที่ที่ต้องการความสะอาด และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพพลังงานในระบบปรับอากาศในอาคาร
ทำไมการปรับแต่งระบบลมถึงสำคัญต่อคุณภาพอากาศภายในอาคาร (IAQ)
คุณภาพอากาศภายในอาคาร (Indoor Air Quality : IAQ) มีผลโดยตรงต่อสุขภาพ ความสบาย และประสิทธิภาพการทำงานของผู้อยู่อาศัยภายในอาคาร โดยระบบลม (Air Side System) ในระบบปรับอากาศ (HVAC) มีบทบาทสำคัญในการระบายอากาศ กรองอากาศเสีย กระจายอากาศและควบคุมการไหลเวียนของอากาศ ช่วยลดมลพิษ และรักษาสมดุลของอากาศภายในอาคาร
การปรับแต่งระบบลมเป็นการปรับความสมดุลของหัวจ่ายลมให้เป็นไปตามที่ได้ออกแบบไว้ เพื่อให้เกิดการทำงานที่มีประสิทธิภาพของระบบ ลดการใช้พลังงานที่สูญเสียไป และที่สำคัญเพื่อให้ผู้อยู่อาศัยเกิดความสบาย ดังนั้นการปรับบาลานซ์ลมหรือปรับสมดุลลมจ่ายจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากสำหรับงานปรับอากาศและการระบายอากาศ
ซึ่งการปรับแต่งระบบลม Air System อย่างเหมาะสมจะช่วยให้คุณภาพอากาศภายในอาคาร (IAQ) อยู่ในระดับที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับผู้ใช้งานอาคาร ตั้งแต่การเติมอากาศบริสุทธิ์เข้าสู่ภายใน ควบคุมความชื้นและป้องกันเชื้อรา กำจัดสารปนเปื้อนและฝุ่นละอองในอากาศ และป้องกันการสะสมของอากาศเสียและกลิ่นไม่พึงประสงค์ รวมถึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานและลดค่าไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีสำหรับผู้อยู่อาศัยในระยะยาว
ข้อดีในการปรับแต่งระบบลม (Air System)
- ปรับปรุงคุณภาพอากาศภายในอาคาร (IAQ) : การปรับแต่งระบบลมช่วยให้มีการระบายอากาศที่เหมาะสม ลดความเข้มข้นของมลพิษทางอากาศภายในอาคาร (Indoor Air Pollution) และนำอากาศบริสุทธิ์จากภายนอกเข้าสู่ภายใน
- เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานของระบบปรับอากาศ : การควบคุมปริมาณลมในแต่ละพื้นที่ให้เหมาะสมเป็นการช่วยลดการใช้พลังงานของระบบปรับอากาศ และทำให้ระบบสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- เพิ่มความสบายสำหรับผู้ใช้งานอาคาร : ระบบกระจายลมที่ดีจะช่วยให้มีการกระจายอากาศที่ทั่วถึงและสม่ำเสมอทั่วอาคาร ช่วยในการควบคุมอุณหภูมิและความชื้นได้อย่างแม่นยำ และสร้างสภาพแวดล้อมที่สะดวกสบายสำหรับผู้อยู่อาศัย
ข้อเสียหากละเลยการปรับแต่งระบบลม (Air System)
- คุณภาพอากาศภายในอาคาร (IAQ) แย่ลง : เพราะการระบายอากาศที่ไม่เพียงพอทำให้ฝุ่นละออง เชื้อโรค และมลพิษที่สะสมอยู่ในอากาศส่งผลต่อสุขภาพและประสิทธิภาพการทำงานของผู้ใช้งานอาคารได้
- สิ้นเปลืองพลังงาน ค่าใช้จ่ายสูงขึ้น : หากระบบลมไม่ได้รับการปรับแต่งและดูแลระบบให้เหมาะสม หรือช่องระบายอากาศเกิดอุดตันจนทำให้เครื่องปรับอากาศต้องทำงานหนักขึ้นส่งผลให้ค่าใช่จ่ายด้านพลังงานสูงขึ้นนั่นเอง
- ผู้ใช้งานอาคารเกิดความรู้สึกไม่สบายตัว : การกระจายอากาศที่ไม่ทั่วถึงของระบบปรับอากาศทำให้เกิดความแตกต่างของอุณหภูมิในแต่ละพื้นที่ส่งผลให้ผู้อยู่อาศัยรู้สึกไม่สบายตัว หรือเกิดกลิ่นอับในอาคาร เกิดการสะสมของเชื้อราและแบคทีเรียจนส่งผลต่อปัญหาสุขภาพของผู้คน
- อายุการใช้งานของอุปกรณ์ในระบบปรับอากาศสั้นลง : การสะสมของสิ่งสกปรกในระบบลมทำให้เกิดการอุดตันและลดประสิทธิภาพการทำงานของอุปกรณ์จนเกิดการสึกหรอและเสียหายเร็วขึ้น
อุปกรณ์สำคัญในการตรวจวัดเพื่อปรับแต่งระบบลม
- เครื่องวัดความเร็วลม (Anemometer) : อุปกรณ์สำหรับวัดความเร็วลม ตรวจสอบทิศทางของลมหรือปริมาณการไหลของอากาศ เพื่อช่วยให้สามารถตั้งค่าและปรับสมดุลการไหลของอากาศได้อย่างเหมาะสม
- เครื่องวัดแรงดัน (Pressure Gauge) : เครื่องมือที่ใช้ในการวัดความดันอากาศ (Pressure) ภายในท่อส่งลมเพื่อประเมินประสิทธิภาพของพัดลม ท่อส่งลม และระบบกรองอากาศ หรือตรวจสอบความสมดุลและปัญหาการอุดตัน
- เครื่องวัดอัตราการไหลของอากาศ (Air Flow Hood) : อุปกรณ์ในการวัดปริมาณการไหลของอากาศหรือปริมาตรของอากาศที่ปล่อยออกมาจากระบบระบายอากาศหรือระบบ HVAC เพื่อปรับสมดุลของระบบ HVAC และตรวจสอบว่าอากาศถูกกระจายไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้องหรือไม่
- เครื่องวัดอุณหภูมิและความชื้น (Thermo-Hygrometer) : เครื่องมือที่ใช้ในการตรวจสอบอุณหภูมิและความชื้นสัมพัทธ์ของอากาศ เพื่อควบคุมอุณหภูมิและความชื้นภายในอาคารให้เหมาะสม
การใช้ระบบควบคุมแรงดันลม (Static Pressure Control) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบลมได้อย่างไร
แรงดันลม (Static Pressure) คือค่าความดันของอากาศที่เกิดขึ้นภายในระบบท่อส่งลม (Duct System) ในระบบปรับอากาศ (HVAC) โดยค่าความดันนี้ส่งผลต่อประสิทธิภาพของพัดลม การไหลของอากาศ และการจ่ายลมไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ภายในอาคาร หากแรงดันลมสูงเกินไประบบจะใช้พลังงานมากขึ้นและอาจทำให้เกิดเสียงรบกวน ในขณะที่หากแรงดันต่ำเกินไปอากาศอาจไหลไม่เพียงพอ จนส่งผลต่อคุณภาพอากาศภายในอาคาร (IAQ) ได้นั่นเอง
ดังนั้นการใช้ระบบควบคุมแรงดันลม (Static Pressure Control System) จะช่วยให้ระบบลมทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมลดการใช้พลังงาน ปรับปรุงคุณภาพอากาศภายในอาคาร (IAQ) และเพิ่มความสบายต่อผู้ใช้งานอาคาร
มาตรฐานและข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องในการทดสอบ
การทดสอบและปรับแต่งระบบลม (Air System) ในระบบปรับอากาศต้องเป็นไปตามมาตรฐานและข้อกำหนดที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มั่นใจว่าระบบทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และเป็นไปตามหลักการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม โดยมาตรฐานและข้อกำหนดที่สำคัญมีดังนี้
- มาตรฐานการตรวจสอบและบำรุงรักษา เช่น ASHRAE 62.1 – Ventilation for Acceptable Indoor Air Quality, มาตรฐาน Testing Adjusting and Balancing (TAB) โดย NEBB หรือมาตรฐาน SMACNA ในงานออกแบบและติดตั้งระบบท่อส่งลม เป็นต้น
- กฎหมายและข้อกำหนดทางท้องถิ่น เช่น กฎหมายควบคุมอาคารที่กำหนดเรื่องการออกแบบและติดตั้งระบบลมให้เหมาะสมกับขนาดและประเภทของอาคาร เป็นต้น
- ข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อมและพลังงาน เช่น มาตรฐาน LEED มาตรฐานการรับรองอาคารสีเขียว (Green Building) ที่กำหนดให้ระบบ HVAC ต้องมีประสิทธิภาพสูง ลดการใช้พลังงาน และส่งเสริมคุณภาพอากาศภายในอาคาร (IAQ) หรือ มาตรฐาน Eurovent ที่ใช้ในการรับรองประสิทธิภาพของระบบปรับอากาศและการใช้พลังงานในอาคาร เป็นต้น
ขอแนะนำบทความที่น่าสนใจ :
- Testing Adjusting and Balancing (TAB) คืออะไร?
- 5 เหตุผลที่ควรตรวจสอบคุณภาพอากาศภายในอาคาร IAQ (Indoor Air Quality)
Q&E INTERNATIONAL ผู้ให้บริการ Testing Adjusting and Balancing (TAB) สำหรับระบบ HVAC
“Q&E INTERNATIONAL” รับทดสอบระบบปรับอากาศ (HVAC) โดยการปรับแต่งระบบลม (Air Side)
และระบบน้ำ (Water System) ตามมาตรฐานสากล Testing Adjusting and Balancing (TAB) จาก NEBB ด้วยทีมงานวิศวกรมืออาชีพและเครื่องมือที่ทันสมัยเพื่อให้ระบบปรับอากาศของคุณทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ
เพราะอะไรทำไมถึงควรทำ Testing Adjusting and Balancing (TAB) สำหรับระบบปรับอากาศในอาคาร คลิกอ่านได้เลย > ที่นี่ <
ติดต่อเรา Q&E INTERNATIONAL ได้ที่ช่องทาง
Call: 095-748-7312, 081-595-3011
LINE ID: @248hrupy
Facebook: บริษัท คิว แอนด์ อี อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด
Email: [email protected], [email protected]