เพราะโลกต่างกำลังเผชิญกับปัญหาสิ่งแวดล้อมรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มลพิษต่าง ๆ หรือทรัพยากรธรรมชาติที่กำลังลดน้อยลงอย่างต่อเนื่อง ทุกภาคส่วนจึงต่างมุ่งมั่นที่จะช่วยกันลดผลกระทบที่เกิดขึ้นด้วยแนวคิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคอสังหาริมทรัพย์และการก่อสร้าง ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก
ดังนั้นจึงก่อให้เกิดแนวคิด “Green Building” หรือ “อาคารเขียว” ขึ้นมาและกลายเป็นหนึ่งในแนวคิดใหม่สำหรับการออกแบบ ก่อสร้างอาคาร และดำเนินงานในอาคารให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ประหยัดพลังงาน ลดการใช้ทรัพยากรโดยสิ้นเปลือง และสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีต่อสุขภาพของผู้อยู่อาศัยภายในอาคาร
โดยมีหนึ่งในมาตรฐานที่มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับในระดับสากลสำหรับแนวคิด Green Building นั่นคือ “LEED Certification” หรือมาตรฐาน LEED ที่ก้าวขึ้นมาเป็นหลักเกณฑ์ในการประเมินอาคารเขียวระดับโลกที่ครอบคลุมตั้งแต่การออกแบบ การก่อสร้าง การใช้งานอาคาร ไปจนถึงการบำรุงรักษาอาคารอย่างยั่งยืน
เพราะฉะนั้นในวันนี้เราจะพาทุกท่านมาเจาะลึกเรื่องมาตรฐานอาคารเขียว LEED ให้รู้ลึกยิ่งขึ้นว่าคืออะไร ประเภทของการรับรองเป็นแบบไหน มีการแบ่งเกณฑ์ตามระดับคะแนนอย่างไร และการได้รับรองมาตรฐาน LEED มีประโยชน์ต่อเจ้าของอาคารอย่างไรบ้างในบทความชิ้นนี้กัน!
มาตรฐาน LEED คืออะไร? เกี่ยวข้องกับอาคารเขียวอย่างไร
มาตรฐาน LEED คือ มาตรฐานที่ใช้ประเมินและรับรองอาคารเขียว (Green Building) ที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล โดย LEED ย่อมาจาก Leadership in Energy and Environmental Design ซึ่งพัฒนาขึ้นโดย U.S. Green Building Council (USGBC) หรือสภาอาคารเขียวของสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ ค.ศ. 1998
ซึ่งมีจุดประสงค์ในการส่งเสริมการออกแบบ การก่อสร้างอาคาร การใช้งานอาคาร และการบำรุงรักษาอาคารให้เป็นไปในแนวทางที่ยั่งยืน โดยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีต่อสุขภาพของผู้ใช้งานภายในอาคาร
โดยมีเป้าหมายในการสร้างอาคารที่ดีขึ้น ดังนี้
- ลดแหล่งกำเนิดก๊าซเรือนกระจกซึ่งเป็นสาเหตุของปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change)
- อนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ พร้อมช่วยเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพและระบบนิเวศ
- ส่งเสริมการใช้วัสดุหมุนเวียนอย่างยั่งยืนและวัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
- ยกระดับคุณภาพชีวิต ส่งเสริมการสร้างสภาพแวดล้อมและคุณภาพอากาศภายในอาคารที่ดีต่อมนุษย์
การที่อาคารได้รับการรับรองตามมาตรฐาน LEED จึงถือได้ว่าเป็นการการันตีว่าอาคารหลังนั้นได้เป็น “อาคารเขียว (Green Building)” ที่ตอบโจทย์ด้านความยั่งยืนอย่างแท้จริง ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นการช่วยโลกของเราเท่านั้น แต่ยังช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ขององค์กร และสร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้อาคารและนักลงทุนอีกด้วยนั่นเอง
การแบ่งเกณฑ์ตามประเภทต่าง ๆ ของมาตรฐาน LEED
มาตรฐาน LEED มีการกำหนดเกณฑ์การประเมินที่ครอบคลุมหลายด้านเพื่อใช้แบ่งแต่ละหมวดหมู่ให้เหมาะสมกับลักษณะของอาคารและพื้นที่ใช้งาน โดยข้อมูลล่าสุดสำหรับปี 2025 ได้อัปเดตเวอร์ชันล่าสุดของมาตรฐาน LEED กลายเป็น “LEED v5” โดยครอบคลุมทั้งอาคารสร้างใหม่และอาคารที่มีอยู่เดิม เพื่อปรับปรุงมาตรฐานให้สอดคล้องกับแนวโน้มด้านสิ่งแวดล้อมในยุคปัจจุบัน เพื่อผลักดันให้อาคารทั่วโลกมุ่งสู่ความยั่งยืนยิ่งขึ้น ซึ่งมีเป้าหมายหลัก 3 ประการ ได้แก่ การดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศ (50% ของคะแนนที่เป็นไปได้) คุณภาพชีวิต (25%) และการอนุรักษ์และฟื้นฟูระบบนิเวศ (25%)
โดยมีการแยกประเภทของโครงการออกเป็นหมวดหมู่หลัก ๆ ดังนี้
- LEED for Building Design and Construction (BD+C) : สำหรับอาคารใหม่หรืออาคารที่มีการปรับปรุงครั้งใหญ่ เช่น สำนักงาน โรงพยาบาล โรงแรม โรงงาน และสถานศึกษา
- LEED for Interior Design and Construction (ID+C) : สำหรับพื้นที่ภายในอาคารที่ไม่ได้ควบคุมโครงสร้างอาคารโดยตรง แต่ต้องการออกแบบภายในให้ยั่งยืน
- LEED for Building Operations and Maintenance (O+M) : สำหรับอาคารที่มีอยู่แล้ว โดยมุ่งเน้นการปรับปรุงด้านการดำเนินงานและการดูแลรักษาให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
- LEED for Neighborhood Development (ND) : สำหรับโครงการพัฒนาเมืองหรือชุมชนที่ต้องการวางผังอย่างยั่งยืน รวมถึงระบบคมนาคม การเข้าถึงพื้นที่สีเขียว และความหลากหลายของการใช้พื้นที่
- LEED for Homes : สำหรับบ้านพักอาศัย เช่น บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ และอาคารพักอาศัยแนวราบอื่น ๆ โดยเน้นที่สุขภาพ ความสะดวกสบาย และประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน
- LEED for Cities and Communities : สำหรับการประเมินความยั่งยืนในระดับเมือง โดยครอบคลุมด้านการใช้พลังงาน การจัดการการใช้น้ำ การจัดการของเสีย ขยะ ระบบคมนาคม และคุณภาพชีวิตของผู้คนในเมือง
การให้คะแนนตามลำดับขั้นของมาตรฐาน LEED
LEED Certification ใช้ระบบการให้คะแนนตามลำดับขั้นเพื่อประเมินและรับรองระดับความเป็นอาคารเขียวของโครงการต่าง ๆ โดยแบ่งระดับการรับรองออกเป็น 4 ขั้นหลักตามลำดับดังนี้
ระดับการรับรอง คะแนนที่ต้องได้ (จาก 110 คะแนนเต็ม)
- LEED Certified 40–49 คะแนน
- LEED Silver 50–59 คะแนน
- LEED Gold 60–79 คะแนน
- LEED Platinum 80 คะแนนขึ้นไป
โดยแต่ละขั้นแสดงถึงระดับความมุ่งมั่นและความสำเร็จในการดำเนินงานตามหลักการของ Green Building ที่แตกต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับรายละเอียดปลีกย่อยที่ใช้ประเมินร่วมกันเพื่อให้คะแนนดังกล่าวตามลำดับข้างต้น
หลักเกณฑ์ในการประเมินอาคารเขียว LEED
หลักเกณฑ์ในการประเมินอาคารเขียวของ LEED จะมีการแบ่งออกเป็นหมวดหมู่เครดิต (Credit Categories) ของอาคารในด้านต่งา ๆ เพื่อกำหนดไว้สำหรับการดำเนินงานตามข้อกำหนดในแต่ละเครดิต ดังนี้
- Location and Transportation (LT) : ที่ตั้งและการคมนาคม
การพิจารณาถึงที่ตั้งของโครงการ ความสะดวกในการเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะ การส่งเสริมการเดินและการใช้จักรยาน การลดผลกระทบจากการจราจร และการอนุรักษ์พื้นที่สีเขียว
- Sustainable Sites (SS) : สถานที่ตั้งเพื่อความยั่งยืน
การจัดการพื้นที่โครงการอย่างยั่งยืนให้สอดคล้องกับสิ่งแวดล้อมโดยรอบ เช่น การลดผลกระทบต่อระบบนิเวศ การป้องกันการกัดเซาะของดิน หรือการเพิ่มพื้นที่สีเขียว เป็นต้น
- Water Efficiency (WE) : ประสิทธิภาพการใช้น้ำ
การส่งเสริมการใช้น้ำอย่างประหยัดและมีประสิทธิภาพ เช่น การนำน้ำกลับมาใช้ใหม่ และการจัดการน้ำฝนอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นต้น
- Energy and Atmosphere (EA) : การใช้พลังงานและบรรยากาศโดยรวม
การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน การออกแบบอาคารประหยัดพลังงาน การใช้พลังงานหมุนเวียน การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือการตรวจสอบและวัดผลการใช้พลังงานอย่างต่อเนื่อง
- Materials and Resources (MR) : วัสดุและทรัพยากร
ส่งเสริมการเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น วัสดุรีไซเคิล วัสดุที่ผลิตในท้องถิ่น หรือวัสดุที่ได้รับการรับรองด้านความยั่งยืน รวมถึงการจัดการของเสียระหว่างการก่อสร้าง
- Indoor Environmental Quality (EQ) : คุณภาพสิ่งแวดล้อมภายในอาคาร
การให้ความสำคัญกับคุณภาพสิ่งแวดล้อมภายในอาคาร เช่น การตรวจสอบคุณภาพอากาศภายในอาคาร (IAQ) หรือการออกแบบระบบระบายอากาศที่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมสุขภาพและความสะดวกสบายของผู้ใช้งานอาคาร
- Innovation (IN) : นวัตกรรม
การเปิดโอกาสให้โครงการนำเสนอแนวคิดหรือนวัตกรรมที่สนับสนุนด้านความยั่งยืน เพื่อแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพที่โดดเด่นและยังไม่มีในเกณฑ์ปกติหรือข้อกำหนดขั้นต่ำของ LEED
- Regional Priority (RP) : ลำดับความสำคัญในระดับภูมิภาค
หมวดเฉพาะที่ให้คะแนนเพิ่มเติมกับโครงการที่สามารถแก้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมเฉพาะพื้นที่ภูมิภาคนั้น เช่น ปัญหาฝุ่นละอองในเมืองใหญ่ หรือการอนุรักษ์ทรัพยากรในพื้นที่ที่มีปัญหาน้ำแล้ง เป็นต้น
ประโยชน์ของการรับรองอาคารเขียว LEED
การได้รับ LEED Certification สำหรับอาคารเขียวไม่ใช่เป็นเพียงแค่สัญลักษณ์ของความยั่งยืนเท่านั้น แต่ยังเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมทั้งต่อเจ้าของโครงการ ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัยพย์ ผู้ใช้งานอาคาร สังคมโดยรวม และภาพลักษณ์ขององค์กร ซึ่งประโยชน์หลักของการเป็นอาคารเขียว (Green Building) ที่ผ่านมาตรฐาน LEED มีดังนี้
- ประหยัดพลังงาน ใช้พลังงานและทรัพยากรต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ
- ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการดำเนินงานและช่วยอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ
- ส่งเสริมการสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของผู้ใช้งานอาคาร
- ส่งเสริมภาพลักษณ์องค์กรที่แสดงถึงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม และมีวิสัยทัศน์ด้านความยั่งยืน
- ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดปัญหาและการซ่อมแซมอาคารได้ในระยะยาว
Q&E INTERNATIONAL รับตรวจสอบคุณภาพอากาศในอาคาร (IAQ) ให้สอดคล้องกับมาตรฐานอาคารเขียว
คุณภาพอากาศภายในอาคาร (Indoor Air Quality : IAQ) เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่กำหนดคุณภาพชีวิตของผู้ที่อยู่อาศัยหรือทำงานภายในอาคารนั้น ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ของทุกคน การรักษามาตรฐานคุณภาพอากาศในอาคาร (IAQ) ให้ดีและสอดคล้องกับมาตรฐาน LEED หรือมาตรฐานอาคารเขียวจึงเป็นสิ่งสำคัญที่เจ้าของอาคารต้องใส่ใจอย่างยิ่ง
เพื่อให้มั่นใจได้ว่าอาคารของคุณจะเป็นไปตามเกณฑ์และข้อกำหนดของมาตรฐานอาคารเขียว “Q&E INTERNATIONAL” พร้อมให้บริการตรวจสอบคุณภาพอากาศภายในอาคาร (IAQ) เพื่อให้สอดคล้องกับ LEED Certification ด้วยบริการตรวจวัดครบวงจร เพื่อมุ่งเน้นการตรวจสอบและให้คำแนะนำที่สามารถช่วยให้อาคารที่ได้รับการตรวจสอบว่ามีคุณภาพอากาศที่เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน LEED ในหมวด Indoor Environmental Quality (EQ)
คลิกเพื่อดูเพิ่มเติมเกี่ยวกับ :
- 10 รายการสำคัญ สำหรับ IAQ : การตรวจสอบคุณภาพอากาศภายในอาคาร
- 5 เหตุผลที่ควรตรวจสอบคุณภาพอากาศภายในอาคาร IAQ (Indoor Air Quality)
ติดต่อเรา Q&E INTERNATIONAL ได้ที่ช่องทาง
Call: 095-748-7312, 081-595-3011
LINE ID: @248hrupy
Facebook: บริษัท คิว แอนด์ อี อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด
Email: [email protected], [email protected]